หลักการเลือกซื้อรถตัดอ้อยมือสอง A8000

หลักการเลือกซื้อรถตัดอ้อยมือสอง A8000 & A8800
การเลือกซื้อรถตัดอ้อยมือสองมีความสำคัญมากเพราะถือว่าเป็นการลงทุนที่สูงมากถึงแม้ราคารถมือสองจะมีมูลค่าที่ต่ำกว่ารถใหม่ที่ราคาเกิน 10 ล้านบาท แต่ด้วยราคาก็หลายล้านบาทอยู่ดีและส่วนมากคนที่จะซื้อรถตัดมักจะเป็นคนที่จะซื้อรถเป็นครั้งแรกซึ่งต้องยอมรับว่าคนซื้อมีข้อมูลหรือความรู้น้อยมากกับรถตัดอ้อยมือสอง ซึ่งข้อมูลหรือความรู้ของคนที่จะหาซื้อรถตัดอ้อยมักมาจากการที่คนที่จะซื้อไปสอบถามคนที่ใช้หรือช่างซ่อมรถตัดอ้อย บางครั้งข้อมูลที่ได้อาจจะไม่คลอบคลุมทั้งหมด ซึ่งในส่วนของรถตัดอ้อยมือสองก็มีอยู่หลากหลายยี่ห้อและรุ่น ราคาก็จะต่างกันไปตามปี สภาพ ซึ่งครั้งนี้ผมจะอธิบายหลักการเลือกเพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่จะเลือกซื้อรถตัดอ้อยโดยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถตัดอ้อย เคส ไอเอช รุ่น A8000 เพราะผมมีประสบการณ์กับรุ่นนี้พอสมควร
เราต้องยอมรับว่ารถรุ่นใหม่ๆ พัฒนาขึ้นมาเยอะมาก โดยจุดที่พัฒนาหลัก ก็คือ อัตราการกินน้ำมันที่ประหยัดขึ้น ตัดอ้อยได้เร็วขึ้น ตัดอ้อยแล้วมีความสะอาดมากขึ้น ตัดอ้อยล้มดีกว่า ตัดอ้อยที่หนาแน่นได้มากขึ้น สามารถตัดอ้อยได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งหลายๆ ข้อที่กล่าวมารถรุ่นเก่ามาก ๆ ไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ นั่นคือ เหตุผลที่ว่าราคารถรุ่นเก่าๆ ราคาจะถูกกว่ารุ่นใหม่ๆ ไม่รวมสภาพของรถที่ใช้งานมานานแล้วด้วย แต่อะไรก็ตามการเลือกรถมือสองก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของผู้ซื้อ แต่อยากฝากอย่างหนึ่งคือ การซื้อรถตัดอ้อยคือการลงทุนถ้าเราลงทุนไปแล้วแต่วันหนึ่งรถที่เราซื้อมาไม่สามารถตอบโจทย์เราได้ทั้งหมดเราก็จะต้องเสียเงินเพื่อซื้อรถใหม่อีกครั้ง โจทย์ที่เป็นปัญหาเช่น ความสามารถในการตัดอ้อย มีอ้อย 20,000 ตัน แต่รถที่ใช้ตัดเต็มที่ได้แค่ 12,000 ตัน หรือปัจจุบันมีอ้อย 3,000 ตัน แต่หลังจากนั้นปรากฏว่าอ้อยเราเพิ่ม รถเราตัดอ้อยได้ไม่ทันหรือรถเราเสียบ่อย หรืออ้อยที่เราปลูกผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้น บางครั้ง คนซื้อคิดว่าอ้อยตัวเองบางเอาสเปคแค่นี้พอ ผมขอบอกเลยว่าห้ามคิดแบบนี้เพราะใครทำอ้อยมีแต่ผลผลิตสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น
ข้อมูลรถตัดอ้อย เคส A8000
รถตัดอ้อยเคสรุ่น A8000 หรือ A8800 ผลิตที่ Piracicaba - Sao Paulo ประเทศบราซิลเพียงที่เดียว ที่ใครบอกว่ารถอเมริกาหรือออสเตเลียนั้น เป็นแค่เพียงว่ารถคันนั้นผลิตที่บราซิลแล้วถูกขายไปประเทศนั้น ๆ แล้วนำเข้ามาประเทศไทยเป็นรถมือสอง เพราะโรงงานผลิตรถตัดอ้อยเคสรุ่น A8000 มีที่ประเทศบราซิลเพียงแห่งเดียวในโลกนี้
รถตัดอ้อยล้อยางแท้ดูอย่างไร
ถ้าเราอยากรู้ว่ารถตัดอ้อยคันที่เราจะซื้อเป็นล้อยางแท้ให้เราดูได้จากหมายเลยแชสซี ซึ่งอยู่ที่ตัวลงตรงล้อหลังขวา ตัวอย่างคือ 800231=ล้อยางแท้ และถ้าเป็น 880231 = ล้อแทรค นั่นคือ ถ้าขึ้นต้นด้วย 80 จะเป็นล้อยางแท้ ถ้าเป็น 88 จะเป็นล้อแทรค บางครั้ง หมายเลขแชสซีที่ตีอาจจจะขึ้นต้นด้วย PRCY880231 ก็แล้วว่าทางโรงงานผลิตจะตีมาแต่โดยปกติที่มี PRCY นี้จะเป็นรถปีหลังปี 2011 ที่ตีแบบนี้ อีกอย่างคือรถตัดอ้อยรุ่น A8000 นี้เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 2010 โดย ณ ปัจจุบันรถตัดอ้อยรุ่น A8000 ได้เปลี่ยนรุ่นไปเมื่อปี 2018 เป็นรุ่น A8010 นั่นคือช่วงการผลิตรถตัดอ้อย A8000 จะอยู่ระหว่างปี 2010 - 2017
ส่วนของเครื่องยนต์
เครื่องยนต์รถตัดอ้อยมือสองมีหลักการดูดังนี้
1. ชั่วโมงการทำงาน เป็นตัวกำหนดว่ารถใช้งานมานานแค่ไหนแต่จำไว้ว่าชั่วโมงการทำงานเยอะนานก็จริงแต่เป็นรถที่บำรุงรักษาดีก็ดีกว่ารถชั่วโมงน้อยแต่ดูแลไม่ดี
2. แรงดันน้ำมันเครื่องยนต์ เราดูได้จากที่หน้าจอมอนิเตอร์ ซึ่งให้เราดูที่ รอบเครื่องยนต์ 800 ให้ดูว่าแรงดันน้ำมันเครื่องขึ้นไปเท่าไร ถ้าให้ดีคือให้สูงกว่า 5.2 บาร์ ( เพราะหน่วยที่หน้าจอจะเป็นบาร์)
3. อุณหภูมิของน้ำยาหล่อเย็น ถ้าเรามีเวลาลองติดเครื่องสักประมาณ 20 นาที เดินเครื่องรอบ 1800 และเปิดระบบทุกอย่างของรถตัดคันนั้นดุว่า อุณหภูมิของน้ำยาหล่อเย็นเท่าไร ถ้าไม่เกิน 82-85 ถือว่าใช้ได้ ถ้าเกินไม่ดี
4. โปรแกรมเครื่องยนต์ ให้เขาเช็คที่หน้าจอเข้าไปที่ Tool Box – Engine แล้วดูว่า มี
High Horse Power
Low Horse Power
Smart High Horse Power
Smart Low Horse Power
ถ้ามีครบจะดีมากเพราะการปรับแรงม้าและรอบเครื่องปรับอัตโนมัติจะช่วยให้การกินน้ำมันลดลงเป็นอย่างมาก
5. ความเร็วการเร่งรอบเครื่องยนต์ ให้เราลองเร่งรอบเครื่องยนต์ขึ้นว่าขึ้นเร็วใหมเพราะถ้าขึ้นช้าอาจแสดงว่าเทอร์โบชาร์จอาจจะมีปัญหาเราอาจจะต้องเสียเงินค่าซ่อมเทอร์โบหรือซื้อใหม่ได้
6. ควันที่ออกมาที่ท่อไอเสีย โดยปกติรถตัดอ้อยรุ่น A8000 เวลาติดเครื่องจะมีควันดำออกมานิดหน่อยตอนสตาร์ททีแรกแล้วจะจางลงจนปกติแต่ถ้าควันยังดำต่อเนื่องแสดงว่าไม่ปกติ และเวลาที่เร่งรอบเครื่องก็จะมีควันตอนเร่งด้วยแต่พอรอบเครื่องนิ่งแล้วควันจะต้องปกติถ้ายังดำอยู่แสดงว่าไม่ปกติ
7. สมรรถนะของเครื่องยนต์วัดโดยเครื่อง EST ถ้าเราอยากให้ชัวร์เรื่องเครื่องยนต์เราจำเป็นที่จะต้องให้ผู้ขายนำเครื่อง EST มาเสียบเพื่อเช็คเครื่องยนต์ เพื่อดูค่าต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ เพราะถ้าเราไม่เช็คในส่วนนี้เราจะมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเครื่องยนต์พังเราจะเสียเวลาในการซ่อมประมาณ 15 วันและค่าใช้จ่ายในการซ่อมไม่ต่ำกว่า 300,000 – 800,000 บาท และอีกส่วนคือ อัตราการกินน้ำมันถ้ากินเกินจะส่งผลต่อการใช้งานตัดอ้อยของเรา แรงอัดในกระบอกสูบ แรงดันในรางคอมมอลเรล แรงบิดของเครื่องยนต์เป็นต้น นั่นคือการเช็คแบบนี้จะทำให้เรารู้ภายในแบบแท้จริงเหมือนการอัลตราซาวน์ดูภายในเลยทีเดียว
ชุดตัดยอด
ชุดตัดยอดในบ้านเรานั้นไม่ค่อยได้เปิดใช้กัน แต่อนาคตทางโรงงานที่ต้องการอ้อยคุณภาพจะบังคับให้เราเปิดใช้งานตัดยอด ดังนั้นถ้าเราซื้อรถจำเป็นต้องให้เขาเช็คระบบนี้ให้พร้อมใช้งานด้วย ส่วนตัดยอดมี 2 แบบคือแบบธรรมดากับแบบเชร็ดเดอร์ สำหรับผมแนะนำแบบธรรมดาดีกว่าเพราะบ้านเราส่วนใหญ่ใช้รถเป็นล้อยางการกระแทกจะมีมาก ซึ่งจะส่งผลให้แขนยกชุดตัดยอดหักและตัดยอดแบบเชร็ดเดอร์จะกินแรงรถมากกว่าแบบธรรมดาถึงแม้จะดีในเรื่องทำให้ยอดอ้อยเป็นท่อนสั้นๆ (เราให้เครื่องอัดใบจัดการใบอ้อยให้เราแทน)
ชุดโน้มอ้อย
จะมี 2 ออพชั่นของรถตัดอ้อยรุ่น A8000 คือแบบปรับมือกับใช้กระบอกไฮดรอลิคยิง แนะนำให้แบบเลือกแบบใช้กระบอกไฮดรอลิคปรับเพราะเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาปรับเวลาจะใช้งาน
ชุดตัดเครือย์
ชุดตัดเครือย์มีความสำคัญมาก เราจำเป็นต้องใช้เวลาตัดอ้อยล้มเพราะถ้าไม่มีชุดตัดเครือย์เราจะตัดอ้อยล้มได้ช้าและเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมาก และถ้าเป็นไปได้ให้เลือกที่มีกระบอกไฮดรอลิคไว้สำหรับยก วางชุดจานตัดเครือย์เพราะเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะต้องลงไปปรับระดับใช้งาน
สกีหน้า vs หัวจรวด
แบบหัวจรวดดีกว่าแบบสกีแน่นอนเรื่องการลดการต้านทานที่ต้องถูไปกับพื้น ซึ่งช่วยให้อัตราการกินน้ำมันลดลง แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานครับ
ชุดเกียร์ตัดโคน
ควรให้ผู้ขายทำเซฟตี้ให้เราด้วยเพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุ ชนหิน ชนตอ มาเสื้อเกียร์ตัดโคนจะได้ไม่แตก ถ้าเป็นไปได้ให้คนขายเสริมครีบเพื่อให้การดูดอ้อยได้ดียิ่งขึ้น
ชุดสับท่อน
ชุดสับท่อนจะมีให้เราเลือก 2 แบบ คือ แบบดรัม 3 ( ใช้ 6 ใบมีด ) กับแบบดรัม 4 ( ใช้ใบมีด 8 ใบ) แบบดรัม 4 ความยาวการสับท่อนอ้อย 17 – 24 เซนติเมตร แบบดรัม 3 ความยาวการสับท่อนอ้อย 27 – 34 เซนติเมตร โดยแบบดรัม 4 จะทำให้อ้อยที่ตัดขึ้นบนรถบรรทุกสะอาดกว่าแบบดรัม 3 และน้ำหนักบนรถบรรทุกแบบดรัม 4 จะได้มากกว่าแบบดรัม 3 ประมาณ 2-3 ตันต่อกล่องรถบรรทุก
ปล่องพัดลมใหญ่
ควรดูสภาพให้ดีถ้าตัวปล่องเริ่มสึกควรขอให้คนขายเปลี่ยนให้เพราะถ้าเริ่มสึกจะหมดไวมาก ในส่วนของคอปล่องภายในก็ต้องดูให้ดีว่าสึกไปเยอะใหมหรือทะลุใหม พัดลมใหญ่ A8000 จะเป็นแบบแอนติวอร์เท็กซ์ โดยมีลูกบอลพลาสติกอยู่ด้านล่างบางคนเปลี่ยเป็นเหล็กให้ลูกค้าบอกว่าทนกว่า ความจริงคือทนกว่าใช่แต่มันไปกินแรงรถเพราะน้ำหนักของเหล็ก นอกจากนี้ตัวหมุนปล่องตามมาตรฐานจากโรงงานผลิตจะเป็นมอเตอร์หมุนโซ่ แต่บางคนชอบแปลงเป็นใช้แบบกระบอกไฮดรอลิคซึ่งหมุนได้น้อยกว่าและซีลรั่วบ่อยมาก
สะพานหาง
ถ้ารถตัดอ้อยที่แปลงจากล้อแทรคมาเป็นล้อยาง สะพานหางจะยาวกว่าแบบล้อยางแท้ แต่แก้ได้โดยการตัดส่วนข้อต่อออก โดยสะพานหางปกติโซ่จะยาว 218 ข้อ ( ล้อแทรคท้ายจะเตี้ยกว่าล้อยาง)
หน้าจอมอนิเตอร์
หน้าจอมอนิเตอร์รถตัดอ้อยมีหลายรุ่น Pro 200-300 แบบปุ่มกดฟังก์ชั่นการใช้งานต่ำสุด, Pro 600 มีใช้น้อยมากในประเทศไทย , Pro700 แบบทัชสกรีน(หน้าจอสัมผัสแบบโทรศัพท์มือถือ) มีใช้ในประเทศไทยมากที่สุดและรองรับแอพพลิเคชั่นสูงสุดและตอนนี้ทางเคสถ้าจะเปลี่ยนหน้าจอจะมีอะไหล่แบบหน้าจอ Pro 700 เท่านั้น และการติดตั้งหน้าจอใหม่จะต้องลงโปรแกรมใหม่โดยใช้เครื่อง EST เท่านั้น
ระบบออโต้เทคเก้อร์
รถตัดอ้อย A8000 สามารถใช้ระบบยกวางตัวอัตโนมัติเพื่อตัดอ้อยได้ซึ่งถ้าไม่มีระบบนี้ถือว่าขาดอย่างมากกับการตัดอ้อยที่เรียกว่าขาดอรรถรสในการตัดอ้อยทีเดียว เพราะตัวนี้นอกจากจะทำให้เราตัดอ้อยได้ไวแล้วเรายังสะดวกสบายมาก โดยเราต้องดูว่ารถมีกระบออกออโต้เทคเก้อร์ใหมและกระบอกออโต้ที่เป็นล้อยางขนาดเล็กกว่าแบบล้อแทรคดังนั้นถ้าจะซื้อรถตัดอ้อยที่แปลงจากล้อแทรคมาเป็นล้อยางต้องให้เขาเปลี่ยนกระบอกออโต้เทคเก้อร์ด้วย แล้วให้เขาลองระบบยกวางตัวอัตโนมัติด้วย ( อย่าไปคิดว่าระบบออโต้มีปัญหาหรือเสียบ่อย เพราะจริงแล้วมันซ่อมและดูแลง่าย ส่วนใหญ่เป็นข้ออ้างของคนขายที่จะลดค่าใช้จ่ายของตนเอง)
จอยสติ๊ค vs พวงมาลัย
จากการทดสอบการใช้จอยในการกลับหัวแปลงแบบจอยกลับตัวเร็วกว่าแบบพวงมาลัยเท่าตัวและสะดวกสบายกว่า ส่วนที่บอกว่าแบบจอยปัญหาเยอะ ความจริงที่เกิดคือการใช้งานแต่ไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ถูกวิธีและไม่มีการเช็คตามกำหนดเวลาที่กำหนด บางครั้งก็เปลี่ยนจอยโดยไม่มีความจำเป็น หรือบางคนอาจจะเปลี่ยนไปเป็นแบบพวงมาลัยเลยซึ่งทำให้ลดประสิทธิภาพของรถลงเป็นอย่างมาก
การแปลงล้อแทรคเป็นแบบพวงมาลัย vs จอยสคติ๊ค
ส่วนใหญ่รถตัดอ้อยมือสองที่นำเข้ามาในประเทศไทยจะแปลงไปใช้แบบพวงมาลัยเพราะเป็นการแปลงที่ใช้ค่าใช้จ่ายถูกมากและการแปลงไม่มีการลงโปรแกรมให้ถูกต้องเป็นการดัดแปลง ทำให้เวลาที่ใช้งานไปจะมีปัญหาและแก้ยากมากกว่าการแปลงแบบใช้จอยสติ๊ค ณ ปัจจุบันการแปลงแบบจอยแท้คือใช้อะไหล้แท้และลงโปรแกรมให้สมบูรณ์มีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท แต่ว่าประสิทธิภาพรถจะสูงกว่าการใช้พวงมาลัยมาก
นอกจากนี้การแปลงแทรคเป็นล้อยางส่วนใหญ่ลุกค้าจะไม่รู้ว่ามันจำเป็นที่จะต้องติดตั้งชุดดิฟล็อคเข้าไปด้วย เพราะเวลาที่รถไปตัดในพื้นที่ดินทรายหรือลาดเอียงรถตัดอ้อยจะทำงานยากมาก ๆ เพราะล้อรถจะหมุนข้างเดียวทำให้รถไม่เดิน ขอเน้นน่ะครับ สำคัญมากๆๆๆ
ระบบไฮดรอลิค
ถ้าเป็นไปได้จำเป็นจะต้องวัดแรงดันทุกระบบของรถตัดอ้อยเพราะว่าถ้าเราไม่วัดได้แต่เดินระบบดูว่าหมุนหรือขยับได้แล้วตีความว่าใช้ได้นั้นขอให้เลิกความคิดนี้ไปครับ ขนาดหมอที่รักษาคนเรานอกจากสอบถามอาการจากเราแล้วยังต้องมีการใช้เครื่องมือวัดความดันในร่างกายเราด้วย เพื่อให้ได้ค่าความจริง หรืออีกนัยหนึ่งคือ เรามองคนคนหนึ่งเขาดูปกติเดินเหินปกติแต่ถ้าเราวัดความดันเขาอาจจะเป็นโรคความดันหรือเป็นเบาหวานก็ได้ 555 ค่าแรงดันแต่ละระบบของรถตัดอ้อยตามตารางด้านล่างครับ ส่วนถ้าเราวัดไม่เป็นก็ให้คนขายเขาวัดให้ครับ อย่าไปเกรงใจเพราะเรากำลังจะเสียเงินไปเพื่อสิ่งนี้ ถ้าไม่ทำแล้วสุดท้ายมีปัญหาเราจะมาเสียใจภายหลัง อายครูไม่รู้วิชา อายภรรยาไม่มีบุตรครับ
ที่รอบเครื่องยนต์ = 1200 rpm
1. แรงดันระบบตัดยอด : 2650 psi
2. แรงดันระบบตัดโคน: 2500 psi
2. แรงดัน BA66: 2500 psi
3. แรงดันระบบสับท่อน 2500 psi / แรงดัน Valvistor 2200 psi
4. แรงดันชุดสะพานหาง : 2650 psi
ระบบไฟฟ้า 1. ลองสตาร์ทเครื่องยนต์ดูครับดูว่าสตาร์ทติดง่ายหรือเปล่า
2. ดูค่าไฟชาร์จที่หน้าจอครับถ้าค่าไฟชาร์จต่ำกว่า 13.4 โวลต์ แสดงว่าไดร์ชาร์จไม่ดีครับ และถ้ายิ่งเราเปิดที่ปัดน้ำฝนพร้อมไฟทั้งคันแล้วค่าไฟตกลงไปอีกแสดงว่าไดร์ชาร์จไม่ดีครับ
3. คอยน์ไฟฟ้า(สีฟ้า)ต่าง ๆ ให้อ่านค่าตามตัวคอยน์แต่ละตัวให้ได้ค่าตามตามรางนี้ครับ ถ้าไม่ได้ตามนี้แสดงว่า รถคันนี้ยำของเก่าตามที่จะหาได้มาใส่ ใช้ๆ งานไปรถจะมีปัญหาตามมามากมายครับ
4. ถ้ามีโค๊ตขึ้นที่หน้าจอให้คนขายเคลียร์ให้ครบครับถ้ายังมีอยู่แสดงว่ามีปัญหาครับไม่แก้จะมีปัญหาในอนาคตแน่นอนครับ
เหล่านี้เป็นข้อมูลบางส่วนที่น่าจะช่วยให้คนที่จะซื้อรถตัดอ้อยมือสองได้พอเป็นแนวทางไปใช้ในการตัดสินใจซื้อรถตัดอ้อยได้ครับ
จำไว้ว่าเงินไม่มากหรือน้อยคือเงินที่เราต้องเอามาลงทุนต้องศึกษาและค้นหาให้ดีที่สุดครับ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง และรถที่ไม่ดีแม้ราคาถูกมากอาจจะมีค่าแค่เศษเหล้กถ้าเราไม่พิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างจริงจัง
แต่สิ่งสำคัญมากกว่าคำอ้างของรถปีนั้นปีนี้หรือรถจากประเทศนั้นประเทศนี้คือ สภาพที่แท้จริงของตัวรถและการซ่อมรถก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้าว่าซ่อมถึงหรือไม่มีการตรวจเช็คค่าต่าง ๆ ตามมาตรฐานของบริษัทเคสหรือไม่ บริการหลังการขายเป็นอย่างไร มีช่างบริการหรือเปล่า มีอะไหล่หรือเปล่า มีร้านที่ตั้งเป็นหลักแหล่งแน่นนอนไม่ใช่แค่คนถือกระเป๋ากับแผ่นกระดาษมานำเสนอและขายเท่านั้นเพราะเขาขายจบเขาก็ไปจากเราแล้ว ไม่มีใครเขาอยากแบกภาระกับสิ่งที่เขาไม่ได้มีผลประโยชน์ต่อหรอกครับ
GuRu CASE IH

ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ27 พฤษภาคม 2565 เวลา 17:16

    ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดีๆ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ27 พฤษภาคม 2565 เวลา 18:30

    ขอคำแนะนำ เกี่ยวกับการเลือกรถจอร์นเดียด้วยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. รถจอนเดียร์ผมไม่มีข้อมูลเลยครับ

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การแก้ปัญหาระบบไฟฟ้ารถตัดอ้อย CASE A8000